สำนวนไทย
สำนวนไทย คือถ้อยคําหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว
มีความหมายไม่ตรงตามตัวหรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า สำนวน คือถ้อยคำ กลุ่มคำ
หรือความที่เรียบเรียงขึ้นในเชิงอุปมาอุปมัยโดยมีนัยแฝงเร้นซ่อนอยู่อย่างลึกซึ้ง
แยบคาย เพื่อให้ผู้รับได้ไปตีความ ทำความเข้าใจด้วยตนเองอีกชั้นหนึ่ง
ซึ่งอาจแตกต่างไปความหมายเดิมหรืออาจคล้ายคลึงกับความหมายเดิมก็ได้
สันนิษฐานว่าสำนวนนั้นมีอยู่ในภาษาพูดก่อนที่จะมีภาษาเขียนเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย โดยเมื่อพิจารณาจากข้อความในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงแล้ว
ก็พบว่ามีสำนวนไทยปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ เช่น ไพร่ฟ้าหน้าใส หมายถึง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข
ที่มาของสำนวน
1 สำนวนที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่
ข้าวเหลือเกลืออิ่ม
ทรัพย์ในดินสินในน้ำ บ้านเคยอยู่อู่เคยนอน
2 สำนวนเกี่ยวกับพืช
ขิงก็ราข่าก็แรง
มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก ใบไม้ร่วงจะออกช่อ
3 สำนวนเกี่ยวกับสัตว์
โง่เง่าเต่าตุ่น
ตีปลาหน้าไซ นกมีหูหนูมีปีก
4 สำนวนเกี่ยวกับนิทาน
กิ้งก่าได้ทอง
กระต่ายตื่นตูม เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ชาวนากับงูเห่า
การแบ่งประเภท
1. การแบ่งตามมูลเหตุ
1. หมวดที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น ตื่นแต่ไก่โห่ ปลากระดี่ได้น้ำ
แมวไม่อยู่หนูร่าเริง ไก่แก่แม่ปลาช่อน
2. หมวดที่เกิดจากการกระทำ
เช่น ไกลปืนเที่ยงสาวไส้ให้กากิน ชักใบให้เรือเสีย ปิดทองหลังพระ
สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
3. หมวดที่เกิดจากสภาพแวดแวดล้อม
เช่น ตีวัวกระทบคราด ใกล้เกลือกินด่าง] ฆ่าควายอย่าเสียดายพริก
4. หมวดที่เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ
5. หมวดที่เกิดจากระเบียบแบบแผนประเพณีความเชื่อ เช่น กงเกวียนกำเกวียน คู่แล้วไม่แคล้วกัน
ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่
6. หมวดที่เกิดจากความประพฤติ
เช่น หงิมหงิมหยิบชิ้นปลามัน ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา คบคนดูหน้าซื้อผ้าดูเนื้อ
ขี้เกียจสันหลังยาว
2. มีเสียงสัมผัส
1. 4 คำสัมผัส เช่น
คอขาดบาดตาย มั่งมีศรีสุข ทำมาค้าขาย
2. 6-7 คำสัมผัส เช่น
ปากเป็นเอก เลขเป็นโท คดในข้องอในกระดูก แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร ขิงก็ราข่าก็แรง
3. 8 - 9 คำสัมผัส เช่น
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ตักน้ำใส่กะโหลก
ชะโงกดูเงา
3. ไม่มีเสียงสัมผัส
1. 2 คำเรียงกัน เช่น
กัดฟัน ของร้อน ก่อหวอด
2. 3 คำเรียงกัน เช่น
ไกลปืนเที่ยง ก้างขวางคอ ดาบสองคม
3. 4 คำเรียงกัน เช่น
ใกล้เกลือกินด่าง ผักชีโรยหน้า เข้าด้ายเข้าเข็ม
4. 5 คำเรียงกัน เช่น
ชักแม่น้ำทั้งห้า ลางเนื้อชอบลางยา ขว้างงูไม่พ้นคอ
5. 6 - 7 คำเรียงกัน เช่น
ยกภูเขาออกจากอก วันพระไม่มีหนเดียว ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
ตัวอย่างสำนวนไทย
กระต่ายตื่นตูม – คนที่แสดงอาการตื่นตกใจง่ายโดยไม่ทันสำรวจให้ถ่องแท้ก่อน
กระต่ายหมายจันทร์ – ผู้ชายหมายปองผู้หญิงที่มีฐานะดีกว่า
กระต่ายหมายจันทร์ – ผู้ชายหมายปองผู้หญิงที่มีฐานะดีกว่า
แกว่งเท้าหาเสี้ยน
– รนหาเรื่องเดือดร้อน
ใกล้เกลือกินด่าง – มองข้ามหรือไม่รู้ค่าของดีที่อยู่ใกล้ตัวซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ตน กลับไป
ใกล้เกลือกินด่าง – มองข้ามหรือไม่รู้ค่าของดีที่อยู่ใกล้ตัวซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ตน กลับไป
ขิงก็รา
ข่าก็แรง – ต่างไม่ยอมลดละกัน
ขี่ช้างจับตั๊กแตน – ลงทุนมากแต่ได้ผลน้อย
ขี่ช้างจับตั๊กแตน – ลงทุนมากแต่ได้ผลน้อย
คมในฝัก
– มีความรู้ความสามารถ
แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ไม่แสดงออกมาให้เห็น
คว้าน้ำเหลว – ไม่ได้ผลตามต้องการ
คว้าน้ำเหลว – ไม่ได้ผลตามต้องการ
เงยหน้าอ้าปาก
– มีฐานะดีขึ้นกว่าเดิมพอทัดเทียมเพื่อน
จับแพะชนแกะ – ทำอย่างขอไปที ไม่ได้อย่างนี้ก็เอาอย่างนั้นเข้าแทน เพื่อให้ลุล่วงไป
จับแพะชนแกะ – ทำอย่างขอไปที ไม่ได้อย่างนี้ก็เอาอย่างนั้นเข้าแทน เพื่อให้ลุล่วงไป
ถ่มน้ำลายรดฟ้า
– ประทุษร้ายต่อสิ่งที่สูงกว่าตน
ตัวเองย่อมได้รับผลร้าย
คุณค่า
ภาษาพูดหรือภาษาเขียนของชนแต่ละชาติย่อมจะมีอยู่ด้วยกันสองอย่าง คือ
พูดตรงไปตรงมาตามภาษาของตนเอง เป็นภาษาพูดที่ต่างคนต่างฟังเข้าใจกันได้ง่าย
พูดเป็นชั้นเชิง มีการใช้โวหารและคำคล้องจองในการพูดและการเขียน ทั้งนี้
เพื่อให้ความหมายชัดเจนหรือขยายความออกไปให้กระจ่างขึ้น
หรือเพื่อให้เกิดความไพเราะน่าฟัง เป็นภาษาที่เราเรียกว่า "โวหาร"
"เล่นลิ้น" หรือ" พูดสำบัดสำนวน" สำนวนเหล่านั้นจะแสดงความหมายอยู่ในตัวประโยคนั้นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น